เพราะผู้สูงอายุ คือ บุคคลอันเป็นที่รักของทุกครอบครัว
ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
ผู้สูงอายุของแต่ละบ้านก็ยังคงเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่
โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิด หรือบุตรหลานซึ่งเป็นด่านแรกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ
ในสังคมไทยผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว
ดังนั้นเมื่อต้องกลายมาเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) ควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม
และฝึกการคลายเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
เมื่อเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุต้องการตรียมตัวอย่างไร
หน้าที่ของการเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้ดูแลอาจต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมี 3 เรื่องที่ต้องเตรียมตัว
ดังนี้
การเตรียมตัวด้านความรู้ ความเข้าใจผู้สูงอายุ
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกาย
อารมณ์ และสภาพจิตใจของท่านก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามไปด้วย ทุกการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้ไม่เหมือนเดิม
และอาจส่งผลกระทบกับผู้ดูแลและครอบครัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
การศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายนั้น
จะเป็นประตูบานแรกที่เชื่อมความเข้าใจระหว่างผู้ดูแลและผู้สูงอายุให้เข้าใจกันได้อย่างดีที่สุด
เช่น ผู้สูงอายุจะมีการได้ยินไม่ค่อยชัด ผู้ดูแลก็ต้องพูดเสียงดังขึ้น
พูดย้ำหลายรอบ บางท่านมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็จะคอยถามคำถามเดิมอยู่ซ้ำๆ
หรือเล่าแต่เรื่องเดิมๆ วนเวียนวันละหลายรอบ เป็นต้น
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายแล้ว
ด้านอารมณ์และความรู้สึกของผู้สูงอายุอาจเปราะบางเป็นพิเศษจนส่งผลให้สุขภาพจิตย่ำแย่
และจะพาลส่งผลกระทบต่อร่างกาย ไม่ว่าจะมีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนแรง
จึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมและตั้งรับทั้งตัวผู้สูงอายุเองและผู้ดูแลผู้สูงอายุ
เช่น ผู้สูงอายุจะมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขี้ระแวง วิตกกังวล โกรธง่าย
เอาแต่ใจเกิดขึ้นจากระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลเหมือนเดิม
ผู้สูงอายุจะชอบคิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก ลังเล หวาดระแวง หมกมุ่น เรื่องของตัวเอง
ทั้งเรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคตและส่วนใหญ่จะกังวลว่าลูกหลานจะทอดทิ้ง บางคนอาจมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
เช่น เอาแต่ใจตนเอง ทำตัวเหมือนเด็กหรือวัยรุ่น หรือที่เรียกว่า “วัยกลับ”
ซึ่งนิสัยเหล่านี้อาจทำให้หลายคนหนักใจและเกิดความเบื่อหน่ายได้ เป็นต้น
1. การเตรียมตัวทางด้านสุขภาพร่างกาย
การดูแลผู้สูงอายุจำเป็นจะต้องใช้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ดังนั้นดูแลรักษาสุขภาพกายของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ
อาจเป็นการออกกำลังกายเบาๆ ภายในบ้าน เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อแอโรบิก โยคะ
หรือหาเวลาออกกำลังกายนอกบ้านให้ได้เหงื่อ เช่น วิ่ง เดินเร็ว
2. การเตรียมตัวทางด้านจิตใจ
อารมณ์
ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเลย
ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุอาจทำให้ผู้ดูแลมีความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย รวมถึงเบื่อหน่ายเนื่องจากมีเวลาส่วนตัวน้อยหรือออกไปติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นได้น้อยลงจนเกิดเป็นความเครียด
รู้สึกไม่มีความสุขได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่ป่วยช่วยเหลือตนเองแทบไม่ได้
ผู้ป่วยสูงอายุที่นอนติดเตียง ดังนั้นการปรับทัศนคติและยอมรับสถานภาพด้วยความเต็มใจ
คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี
ในการตอบแทนผู้มีพระคุณเป็นช่วงที่ได้ใช้เวลาร่วมกันสร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน
ก็จะทำให้ความเครียดและความกดดันนั้นผ่อนคลายลงไปได้
3. การเตรียมตัวทางด้านจิตใจ อารมณ์
ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเลย ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุอาจทำให้ผู้ดูแลมีความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย รวมถึงเบื่อหน่ายเนื่องจากมีเวลาส่วนตัวน้อยหรือออกไปติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นได้น้อยลงจนเกิดเป็นความเครียด รู้สึกไม่มีความสุขได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่ป่วยช่วยเหลือตนเองแทบไม่ได้ ผู้ป่วยสูงอายุที่นอนติดเตียง ดังนั้นการปรับทัศนคติและยอมรับสถานภาพด้วยความเต็มใจ คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี ในการตอบแทนผู้มีพระคุณเป็นช่วงที่ได้ใช้เวลาร่วมกันสร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน ก็จะทำให้ความเครียดและความกดดันนั้นผ่อนคลายลงไปได้
คำแนะนำสำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุลดความเครียด ความเหนื่อยล้า
เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ
ผู้ดูแลผู้สูงอายุและสมาชิกครอบครัวอาจจะต้องเผชิญกับความเครียดจากการดูแลผู้สูงอายุ
ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในด้านร่างกายจิตใจของผู้ดูแล
จนทำให้ไม่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ สร้างความเครียด ความกดดันต่างๆ
ซึ่งความเครียดเหล่านี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งกับคนรอบข้างและคนในครอบครัวได้
ดังนั้นเพื่อลดภาวะเหล่านี้ มีคำแนะนำเบื้องต้นลดความเครียด ความเหนื่อยล้า
เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุ ได้ดังนี้
1. วางแผนการดูแลให้ดี
อย่าให้เป็นภาระตกหนักที่ใครเพียงคนเดียวตลอดเวลา โดยปรึกษากันในครอบครัวเพื่อช่วยกันแบ่งเบาภาระในการดูแลผู้สูงอายุ
เพราะการดูแลผู้ป่วยใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นงานที่ค่อนข้างหนักและต้องใช้ความอดทนอดกลั้นสูง
2. ถ้าเป็นไปได้
อาจจ้างผู้อื่นให้มาทำหน้าที่ดูแลชั่วคราวเป็นครั้งๆ
เพื่อให้ผู้ดูแลหลักมีเวลาพักผ่อนหรือทำธุระส่วนตัวบ้าง
3. หาเวลาพักผ่อนส่วนตัว
วันหยุดพักผ่อนสัปดาห์ละ 1 วัน หรือวันหยุดยาวๆ เดินทางไปพักผ่อนในสถานที่ทางธรรมชาติ
เติมพลังกายและพลังใจให้เต็มที่ ไปพบปะเพื่อนฝูงเพื่อพูดคุย
หรือเดินเล่นให้สบายใจบ้าง
4. ไม่ควรเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่เกิดจากการดูแลผู้ป่วยไว้แต่เพียงผู้เดียว
5. ใช้เวลาดูแลผู้สูงอายุสลับกับการทำกิจกรรมที่ชอบหรือทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย
เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ฯลฯ
หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะจำเจที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด
6. หมั่นรายงานความเป็นไปของอาการ
รวมทั้งปรึกษาและระบายปัญหาให้ญาติพี่น้องทุกคนรับรู้เสมอ
เพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจและมีความเข้าใจอันดีต่อกัน
7. หาเวลาไปนวดผ่อนคลายในสปาหรือไปร้านเสริมสวย
ดูแลตัวเอง ให้รางวัลกับตนเองบ้าง
8. นอนหลับ
เป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายและดีที่สุด เพราะทุกส่วนของร่างกายจะทำงานลดลง
จึงเป็นวิธีลดความเครียดไปด้วย
9. เข้ากลุ่มช่วยเหลือที่โรงพยาบาลจัด
เป็นโอกาสดีที่จะได้พบปะทำความรู้จักกับผู้ดูแลที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับตนเอง
เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคนิคการดูแล อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดความเครียดได้ด้วย
10.
อ่านหนังสือแนวให้กำลังใจหรือสอนให้มองโลกในแง่ดี
หนังสือศาสนา สวดมนต์ทำสมาธิ นำหลักศาสนามาประยุกต์ใช้
เพื่อให้มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต
การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว
เป็นงานที่ต้องใช้พลังกายและใจอย่างมาก ต้องอาศัยความเข้าใจ
ความร่วมมือจากสมาชิกครอบครัวทุกคน
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุประสบความสำเร็จ
คือทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ผู้ดูแลไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย ควรพยายามเข้าหาผู้สูงอายุให้มากขึ้น
หาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับท่าน ต้องเข้าใจธรรมชาติของผู้สูงอายุ
มีความเอาใจใส่ดูแลด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจ
เพื่อตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุได้อย่างแท้จริง
ขอขอบคุณhttps://www.nakornthon.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น